วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

องค์ความรู้เทคนิคการสอนนาฏศิลป์ไทย

การจัดการความรู้
เรื่อง เทคนิคการสอนนาฏศิลป์ไทยที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
โดย วิทยาลัยนาฏศิลปสุพรรณบุรี
สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
*****************************

การประมวลข้อมูลความรู้ จากบุคลากรภาคนาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลปสุพรรณบุรี ที่ได้แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด เทคนิค ประสบการณ์ด้านการสอน การแสดง นาฏศิลป์ไทย รวมถึงครูต้นแบบ/ผู้เชี่ยวชาญ) มาให้ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการสอนด้านนาฏศิลป์ไทยที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ สามารถสรุปเป็นองค์ความรู้ วิธีการสอน เทคนิคการสอน ดังนี้

ความหมายการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
          การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีบทบาทสาคัญในการเป็นผู้เรียนรู้ โดยพยายามจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้สร้างความรู้ ได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล สื่อ และสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ โดยใช้กระบวนการต่าง ๆ เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ และนักเรียนมีโอกาสนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์อื่น ครูต้องมีหน้าที่เตรียมจัดสถานการณ์และกิจกรรมต่าง ๆ นาทางไปสู่การเรียนรู้ โดยไม่ใช้วิธีบอกความรู้โดยตรง ผู้เรียนต้องรู้เป้าหมายของการค้นหาจากคาสั่งที่ครูให้ รวมถึงการแนะแนวทางที่จะทางานให้สาเร็จ และในขณะที่ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ ครูควรสังเกตการณ์อยู่ด้วย เพื่ออานวยความสะดวก หรือเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการ หรือปัญหาการเรียนรู้ของ ผู้เรียนเป็นรายบุคคล เพื่อนาข้อมูลนั้นมาปรับปรุง การจัดการเรียนการสอนในครั้งต่อไป
          แต่เดิมแนวคิดในการเรียนการสอนยึดผู้สอนเป็นศูนย์กลาง (Techer-centered) โดยผู้สอนเป็นผู้กาหนดเนื้อหาและวิธีการเรียนการสอนเอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงการบรรยายหน้าชั้นเรียนเท่านั้น ต่อมานักการศึกษาเชื่อว่าแนวคิดดังกล่าวไม่ได้เอื้อต่อเกิดการพัฒนาผู้เรียนอย่างแท้จริง เพราะไม่ใช่วิธีการที่ตอบสนองต่อความต้องการหรือลักษณะของผู้เรียน การศึกษาควรให้ความสาคัญกับ “การเรียน” มากกว่า “การสอน”แนวคิดของการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ (Learner-centered, Student-centredหรือ Child-centered) จึงเป็นการปฏิรูปการศึกษาที่เปลี่ยนมายึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยมีหลักการว่า กระบวนการจัดการเรียนการสอนต้องเน้นให้ผู้เรียนสามารถแสวงหาความรู้ และพัฒนาความรู้ได้ตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพของตนเอง รวมทั้งสนับสนุนให้มีการฝึกและปฏิบัติในสภาพจริงของการทางาน มีการเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนกับสังคมและการประยุกต์ใช้ มีการจัดกิจกรรมและกระบวนการให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ โดยไม่เน้นไปที่การท่องจาเพียงเนื้อหาในการเรียนการสอนนาฏศิลป์ไทยจึงได้นาหลักการเทคนิคการสอนแบบสมัยใหม่มาใช้ โดยมีวิธีการสอนหลักดังนี้

1. การสอนแบบสาธิต
          สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2547) ได้อธิบายวิธีการสอนแบบสาธิตว่าเป็นการสอนทีผู้สอน
แสดงหรือกระทาให้ดูเป็นตัวอย่างพร้อมๆกับการอธิบายเพื่อให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์ตรงในเชิงรูปธรรม
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการสังเกตขั้นตอนการสาธิตวิธีสอนแบบนี้เหมาะสาหรับการสอนที่ต้องการให้
ผู้เรียนเห็นขั้นตอนการปฏิบัติคือผู้เรียนได้สังเกตการณ์สาธิตของครูผู้สอนแล้วปฏิบัติตามการสาธิตช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจวิธีปฏิบัติได้ดีเพราะเป็นประสบการณ์ตรงสามารถมองเห็นจากครูผู้สอนอย่างชัดเจน
ความมุ่งหมายของการสอนแบบสาธิตมีดังนี้
1. กระตุ้นความสนใจของผู้เรียน
2. เน้นคาถามหรือปัญหาใดปัญหาหนึ่งโดยเฉพาะ
3. อธิบายหลักการ
4. พัฒนาการฟังและการสังเกตอย่างใช้ความคิดของผู้เรียน
5. แสดงเทคนิควิธีการ
6. สรุปความเข้าใจของบทเรียน
7. แสดงวิธีใช้หลักการ
8. การทบทวนบทเรียน
          อาภรณ์ใจเที่ยง (2540) ได้กล่าวว่าแนวทางการสอนแบบสาธิตจะมีคุณค่ามากน้อยขึ้นอยู่กับแนวทางการใช้วิธีสอนดังนี้
1. ในระหว่างสาธิตผู้สอนต้องเอาใจใส่ต่อผู้เรียนทุกคนโดยมั่นใจว่าผู้เรียนทุกคนได้เห็นและกาลังสนใจ การสาธิตอยู่
2. ขณะที่ผู้สอนเป็นผู้แสดงการสาธิตควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมบ้าง
3. ระหว่างที่สาธิตควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถาม
4. ผู้สอนควรมั่นใจว่าการสาธิตนั้นๆมีประโยชน์ต่อผู้เรียน
5. ระหว่างการเรียนการสอนด้วยวิธีการสาธิตผู้สอนไม่ควรบรรยายหรืออธิบายมากเกินไปเพราะจะทาให้ การสาธิตขาดความตื่นเต้นเร้าใจ
6. ผู้สอนไม่ควรเร่งสาธิตคือสาธิตให้ผู้เรียนดูเป็นลาดับขั้นตอนไม่ควรคิดว่าการราบางอย่างผู้เรียนเข้าใจแล้ว
          จะเห็นได้ว่าการสอนแบบสาธิตนั้นมีประโยชน์ต่อผู้เรียนเป็นอย่างมากที่จะเน้นให้นักเรียนสังเกตและปฏิบัติตามมีความมั่นใจในการปฏิบัติกิจกรรมพร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถามสรุปความคิดเห็นต่อกิจกรรมการเรียนของตนและผู้เรียนมีส่วนร่วม

2. การสอนแบบฝึกปฏิบัติ
          ทิศนาแขมมณี (2545) ได้อธิบายถึงวิธีสอนโดยการให้ปฏิบัติว่าเป็นการจัดกิจกรรมการเรียน
การสอนโดยยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลางเน้นการพัฒนาทักษะทางภาษาดนตรีขับร้องนาฏศิลป์และด้าน
ศิลปะเป็นต้นโดยใช้วิธีการฝึกฝนซ้าๆจนกระทั่งนักเรียนเกิดทักษะที่ต้องการถึงขั้นที่กาหนดไว้การฝึก
ปฏิบัตินี้อาจทาการฝึกในลักษณะเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มพร้อมๆกันแล้วแต่ความเหมาะสมซึ่งครูจะ
ทาหน้าที่อธิบายและสาธิตทักษะที่ต้องการฝึกฝนให้นักเรียนดูเป็นตัวอย่างแล้วจึงให้นักเรียนทาการฝึกโดยมีครูคอยดูแลการฝึกให้คาแนะนาช่วยแก้ไขจุดบกพร่องจนกระทั่งนักเรียนมีทักษะที่ต้องการพัฒนาถึงระดับที่กาหนดไว้การสอนแบบฝึกปฏิบัตินี้นักเรียนจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมตลอดเวลาเพราะเป็นการกระทาซึ่งนักเรียนทุกคนต้องฝึกปฏิบัติและขณะฝึกอาจมีการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่างๆประกอบการฝึกปฏิบัติด้วยเช่นรูปภาพภาพยนตร์เทปบันทึกเสียงหรือเทปบันทึกภาพประโยชน์ของวิธีการสอนแบบฝึกปฏิบัติคือใช้สาหรับการพัฒนาทักษะที่ต้องการเป็นการส่งเสริมการเรียนและการฝึกฝนด้วยตนเองให้นักเรียนรู้จักการเรียนรู้ด้วยการกระทาสาหรับข้อจากัดของการสอนแบบฝึกปฏิบัติคือถ้าครูใช้วิธีฝึกปฏิบัตินี้มากเกินไปจนเป็นการเฟ้อจะทาให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายและขณะที่นักเรียนทาการฝึกปฏิบัติครูควรแนะนาช่วยเหลือนักเรียนอย่างทั่วถึง
          ความสาคัญของการสอนแบบฝึกปฏิบัติเป็นการสอนที่ทาให้การเรียนการสอนสมบูรณ์เพราะ
เป็นการศึกษาที่ผสมผสานกันระหว่างภาคทฤษฎีและปฏิบัตินักเรียนได้เรียนรู้จากของจริงและลงมือปฏิบัติด้วยตนเองการสอนแบบนี้จะช่วยให้นักเรียนเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ในเรื่องการนาไปใช้ครูผู้สอนได้เห็นผลการสอนทันที สอนแล้วนักเรียนทาได้จริงหรือไม่นอกจากนี้การสอนและการเรียนแบบฝึกปฏิบัติยังมีความสาคัญของการฝึกฝนทักษะต่างๆพร้อมๆกันไปด้วย

วัตถุประสงค์สาคัญของการสอนแบบฝึกปฏิบัติ
1. เพื่อเรียนรู้ด้านวิธีการผู้เรียนได้ประสบการณ์ตรงจากการสังเกตและทดลอง
2. เพื่อฝึกทักษะควรเป็นทักษะพื้นฐานในการแสวงหาความรู้และฝึกเพิ่มเติมเมื่อนาไปใช้
3. เพื่ออธิบายหลักการที7มีลักษณะเป็นนามธรรมจึงต้องอาศัยการปฏิบัติให้เข้าใจ
4. เพื่อฝึกการใช้เครื่องมือ
5. เพื่อฝึกการรวบรวมข้อมูลแปลความจัดหมวดหมู่แล้วสรุปนาไปแก้ปัญหาด้วยตนเอง
6. เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติทดลองด้วยวิธีการต่างๆ
7. เพื่อเป็นการสนองจุดมุ่งหมายทางการศึกษาด้านทักษะพิสัย (Psychomotor) คือมุ่งให้เห็นเข้าใจสัมผัสและปฏิบัติได้ในสิ่งที่เรียน
          การจัดกลุ่มผู้เรียนในการฝึกปฏิบัติกิจกรรมของการสอนแบบฝึกปฏิบัตินั้นสามารถฝึกปฏิบัติเป็นรายบุคคลและรายกลุ่มย่อยจานวนคนในแต่ละกลุ่มประมาณ 4 - 6 คนควรคละเก่งปานกลางอ่อนเข้าด้วยกันเพี่อจะได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันบทบาทของครูในการสอนแบบฝึกปฏิบัติเป็นการสอนที่ครูต้องเตรียมผู้เรียนโดยเร้าความสนใจและชี้แจงจุดประสงค์ในการเรียนให้ชัดเจนครูต้องสาธิตและอธิบายกระบวนการปฏิบัติและให้คาแนะนาหลังจากที 7 ผู้เรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมแล้วครูนาอภิปรายสรุปผลการเรียนและทาการประเมินผลการปฏิบัติกิจกรรม (วิไลวรรณพิศประเสริฐ, 2543) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้านนาฏศิลป์โดยใช้วิธีการฝึกฝนซ้าๆจนกระทั่งผู้เรียนเกิดทักษะการฝึกปฏิบัติอาจฝึกเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่มโดยครูเป็นผู้คอยดูแลช่วยเหลือให้คาแนะนาการสอนแบบฝึกปฏิบัตินักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมตลอดเวลาขณะฝึกอาจใช้สื่อ อุปกรณ์ต่างๆประกอบการฝึกปฏิบัติเช่นรูปภาพแถบบันทึกเสียงวีดีทัศน์ ประโยชน์ของการฝึกปฏิบัติคือเป็นการพัฒนาทักษะที่ต้องการให้ผู้เรียนรู้จักการเรียนรู้ด้วยการกระทาส่วนข้อจากัดคือครูใช้วิธีฝึกปฏิบัติมากเกินไปทาให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่ายขณะที่ผู้เรียนฝึกปฏิบัติครูควรช่วยเหลือดูแลอย่างทั่วถึง

3. การสอนแบบบรรยาย
          การสอนบรรยายหรืออธิบายเป็นการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นสาคัญในการเรียนการสอนเป็นการเสนอ
เรื่องราวให้นักเรียนทราบทั้งหมดวิธีนี้อาจจะเป็นการบรรยายโดยมีอุปกรณ์การสอนประกอบหรือบรรยายโดยการสาธิตประกอบเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถามหรือแสดงความคิดเห็นสานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2547) ได้กล่าวถึงวิธีสอนแบบบรรยายไว้ดังนี้
การสอนแบบบรรยายเป็นการสอนที่ครูสามารถสอนเนื้อหาความรู้แก่นักเรียนได้มากในคาบเวลาหนึ่งโดยยึดครูเป็นศูนย์กลางการเรียนผู้เรียนเป็นผู้รับฟังและจดบันทึกความรู้เป็นการประหยัดเวลาในการทากิจกรรมวิธีสอนแบบนี้จะได้เนื้อหามากกว่าวิธีสอนแบบอื่นๆครูต้องเตรียมการสอนมาเป็นอย่างดีควรใช้สื่อประกอบการอธิบายด้วยสามารถสอนผู้เรียนได้จานวนมากตั้งแต่ 20 - 200 คนเป็นการสอนที่มีข้อดีคือสอนได้ง่ายใช้อุปกรณ์การสอนน้อยแต่ใช้ความสามารถของผู้สอนเป็นหลักวิธีสอนแบบนี้ใช้เมื่อครูต้องการเสนอความรู้ให้แก่ผู้เรียนเสนอเนื้อหาของบทเรียนต้องการขึ้นบทเรียนใหม่อธิบายท่าราและผู้เรียนต้องรับฟังข้อมูลก่อนการปฏิบัติกิจกรรมการสรุปสิ่งที่เรียนนับได้ว่าการสอนแบบบรรยายมีประโยชน์ต่อผู้เรียนเช่นเดียวกับการสอนแบบอื่นๆและยังคงเป็นวิธีการสอนที่ใช้กันแพร่หลายมากในปัจจุบัน

สรุปองค์ความรู้ด้านการเรียนการสอนเรื่องเทคนิคการสอนนาฏศิลป์ไทยที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ

1. เทคนิคการสอนนาฏศิลป์ไทยแบบแช่ท่ารา
          ในการสอนนาฏศิลป์ไทยนั้น แต่โบราณครูผู้สอนจะสอนผู้เรียน โดยเริ่มฝึกปฏิบัติท่าราตั้งแต่
การฝึกหัดเบื้องต้น ดัดมือ ตบเข่า ถองสะเอว เต้นเสา แล้วเริ่มฝึกแม่ท่า เพลงช้า เพลงเร็ว เพลงพื้นฐาน เมื่อชานาญแล้วจึงเริ่มต่อเพลงหน้าพาทย์เบื้องต้น เช่น เชิด เสมอ โอด ฯลฯ ต่อจากนั้นครูจะเลือกผู้เรียนที่มีท่วงทีลีลาสง่างาม มีทักษะการปฏิบัติท่าราที่ดี มาฝึกหัดโขนหรือละครในกระบวนท่าราของตัวละครแต่ละตัว เช่น พระราม พระลักษมณ์ สีดา ทศกัณฐ์ อิเหนา บูษบา
          การฝึกหัดท่าราในขั้นนี้ ครูจะสอนอย่างใกล้ชิด ซึ่งครูผู้สอนก็จะเป็นผู้ที่ได้รับบทบาทตัวละคร
ตัวนั้นมาก่อนจึงทาให้ครูเป็นผู้มีความชานาญเป็นอย่างมาก ครูโบราณมักจะสอนท่าราไปตามบทละคร
เน้นการราใช้บท ราตีบทตามคาร้อง ฝึกราหน้าพาทย์ชั้นสูง เช่น ตระนิมิต ตระบองกัน ชานาญ บาทสกุณี
คุกพาทย์ รัวสามลา ในการฝึกหัดท่ารานี้ผู้เรียนต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างสูงในการเรียน ต้องฝึกท่ารา
ซ้าๆ เพื่อให้จาได้ และเกิดความเข้าใจ เทคนิคการแช่ท่าราจึงเกิดขึ้นตรงนี้ วิธีการ คือให้ผู้เรียนนิ่งท่ารานั้นไว้เพื่อให้ครูจับท่ารา แก้ไขข้อบกพร่องของท่าราให้เกิดความสวยงาม เมื่อปฏิบัติท่าราในครั้งต่อไปก็จะได้ท่าที่สวยงาม ถูกต้อง
          จุดเด่น ท่าราสวยงาม ผู้เรียนแม่นยาในท่าราเป็นอย่างมาก ข้อจากัด เหมาะสาหรับสอนนักเรียนจานวนน้อย ผู้เรียนต้องมีความอดทน

2. เทคนิคการสอนนาฏศิลป์ไทยแบบเน้นครูเป็นสื่อ
          เทคนิคการสอนแบบนี้ จะเหมือนรูปแบบการสอนแบบโบราณ คือใช้ตัวครูเป็นสื่อ ครูเป็น
ผู้ถ่ายทอดท่าราด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นครูต้องราให้สวยที่สุด ถูกต้องที่สุด ดีที่สุด เพราะผู้เรียนต้องอาศัยตัวครูในการสังเกต แล้วเลียนแบบท่าราให้เหมือนมากที่สุด การเรียนแบบนี้เหมือนเน้นที่ตัวครูเป็นหลัก แต่ที่จริงแล้ว ครูเปรียบเสมือนสื่อของจริงซึ่งดีกว่าสื่อทางวีซีดี ซีเอไอ เพราะสื่อตัวครูสามารถแก้ไขข้อบกพร่องของผู้เรียนได้อย่างทันท่วงที เพราะการเรียนนาฏศิลป์ไทยนั้นหากไม่แก้ไขท่าราทันทีจะทาให้ผู้เรียนเกิดความเคยชินและจะจดจาสิ่งที่ผิดๆติดตัวไป การแก้ไขก็จะยากยิ่งขึ้น
          จุดเด่น ผู้เรียนเห็นสื่อที่ชัดเจน ถูกต้อง เป็นแบบอย่างที่ดี สามารถแก้ไขข้อบกพร่องได้ทันท่วงที
          ข้อจากัด ถ้าผู้เรียนมีจานวนมาก อาจจะมองเห็นไม่ชัดเจนได้ และสื่อไม่สามารถทาซ้าได้มากนักเพราะเป็นตัวบุคคล

3. เทคนิคการสอนนาฏศิลป์ไทยแบบสร้างข้อตกลง
          เทคนิคการสอนในลักษณะนี้ ผู้สอนมีการสร้างข้อตกลงกับผู้เรียนก่อนเรียนในด้านต่างๆ
อาทิ การปฏิบัติตัวก่อนและขณะเรียน ระเบียบวิธีปฏิบัติในการเรียน อาทิ การส่งงาน การทางานที่ได้รับมอบหมาย การแต่งกายชุดฝึกปฏิบัติ (ผ้าแดง) รวมถึงคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่ผู้เรียนพึงมีนอกเหนือจากที่กาหนดไว้ตามหลักสูตร ซึ่งผู้เรียนและผู้สอนมีความเข้าใจตรงกัน มีความพึงพอใจในข้อตกลงต่างๆ ทาให้การเรียนการสอนบรรลุผลตามตัวชี้วัด ผู้เรียนและผู้สอนมีความสุข ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดี เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย และเป็นการสร้างลักษณะนิสัยที่ดีของผู้เรียนได้ต่อไปในอนาคต
          จุดเด่น สร้างคุณลักษณะนิสัยที่ดี ผู้เรียนและผู้สอนพึงพอใจ มีความสุขในกิจกรรมการเรียนการสอน
          ข้อจากัด เหมาะกับผู้เรียนจานวนไม่มากนัก เพราะสามารถพูดคุยสร้างข้อตกลงได้ง่าย
ถ้าผู้เรียนจานวนมากอาจมีความเห็นที่แตกต่างกันได้

4. เทคนิคการสอนนาฏศิลป์ไทยที่เน้นศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคน
          เนื่องจากการเรียนนาฏศิลป์ไทยเน้นการปฏิบัติเป็นหลัก ผู้เรียนแต่ละคนมีการรับรู้ที่
แตกต่างกันอยู่แล้ว และยิ่งระบบประสาทสัมผัส การสั่งสมองให้ร่างกายเคลื่อนไหวตามท่วงทีลีลา ไม่สามารถปฏิบัติได้เหมือนกันทุกคน ฉะนั้นในการเรียนครูผู้สอนจะไม่นาวิธีการถ่ายทอดท่าราแบบเดียวกันมาใช้กับผู้เรียนทุกคน แต่ครูจะแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มตามศักยภาพ คือ เก่ง ปานกลาง อ่อน ดังนี้
          - กลุ่มเก่งนั้น ครูถ่ายทอดท่าราแบบครูสาธิตและมีการบูรณาการการเรียนรู้กับรายวิชาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมบ้าง เน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์ ฝึกประสบการณ์จริงในการแสดง
          - กลุ่มปานกลาง เพิ่มเติมการฝึกปฏิบัติให้มากยิ่งขึ้น เน้นการปฏิบัติท่าราซ้า เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะท่าราที่ดีมากยิ่งขึ้น
          - กลุ่มอ่อนนั้นผู้สอนจาเป็นต้องใกล้ชิดนักเรียนเป็นพิเศษ ใช้หลักจิตวิทยาในการสอนมากยิ่งขึ้น ครูต้องอดทนสูงเพราะนักเรียนไม่สามารถจดจาท่าราได้มากนัก อาจมีการบอดจังหวะ คือฟังจังหวะไม่ออก ต้องคอยกากับจังหวะให้ เน้นให้พัฒนาตนเอง ถ้าผู้เรียนสามารถปรับปรุงตนเองได้ถือว่าประสบความสาเร็จเป็นอย่างดี
          จุดเด่น สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะเกิดความชานาญตามความถนัดของตนเองและยังสามารถช่วยเหลือในกลุ่มผู้เรียนอ่อนได้อีกด้วย
          ข้อจากัด อาจจะให้เวลาในการฝึกที่ไม่เท่ากันจึงต้องมีการยืดหยุ่นเวลามาก

องค์ความรู้ เรื่องเทคนิคการทำวิจัยในชั้นเรียน

การจัดการความรู้
เรื่อง เทคนิคการทาวิจัยในชั้นเรียน
โดย วิทยาลัยนาฏศิลปสุพรรณบุรี
สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
“””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””


กระบวนการวิจัยมีความเกี่ยวข้องทั้งนักเรียน ครูผู้สอนและผู้จัดการศึกษาทุกระดับ จึงจะทาให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาอย่างแท้จริงมีเป้าหมายของการปฏิรูปการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยให้ผู้เรียนเกิดทักษะ กระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบและยั่งยืน การวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียนจึงเป็นเสมือนกระบวนการที่นาพาไปสู่การพัฒนาผู้เรียน ด้วยการที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง สามารถแสวงหาความรู้ใหม่ๆ นาไปแก้ปัญหา สร้างสรรค์และประยุกต์ในชีวิตประจาวัน
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 ได้กาหนดให้นาการวิจัยมาใช้การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ดังนี้
          1. การวิจัยในกระบวนการเรียนรู้ มุ่งให้ผู้เรียนทาวิจัย
          2. การวิจัยพัฒนาการเรียนรู้ มุ่งให้ผู้สอนสามารถทาวิจัย
          3. การวิจัยพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา
          จะเห็นได้ว่าการวิจัย เป็นกระบวนการที่นามาซึ่งการพัฒนาด้านการจัดการศึกษาและมีความจำเป็น
อย่างยิ่งที่ทุกคนที่มีความเกี่ยวข้องพึงตระหนักและสามารถดาเนินการวิจัยได้อย่างง่าย โดยมีความเข้าใจในสิ่งที่จะดาเนินการเพื่อให้เกิดประสิทธิผลอย่างแท้จริง

กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
          กระบวนการวิจัยเพื่อการเรียนรู้ ได้มีการนากระบวนการวิจัยทั่วไปมาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาการเรียนรู้หรือการพัฒนาผู้เรียนเป็นสาคัญ ดังนั้นในขั้นการศึกษาและวิเคราะห์ปัญหา จึงต้องเน้นไปที่ผลการพัฒนาผู้เรียน 3 ด้าน คือ ด้านความรู้ ด้านทักษะและด้านเจตคติ และที่สาคัญก่อนที่ผู้สอนจะใช้การวิจัย ในกระบวนการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน จึงควรมีการดาเนินงานอย่างต่อเนื่อง  ดังนี้
          1. ในการจัดกระบวนการเรียนการสอน ควรใช้กระบวนการวิจัยมาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
          2. ทาวิจัยเพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียน
          3. นาผลการวิจัยมาใช้ในการปรับปรุงการเรียนการสอน

การทาวิจัยในชั้นเรียน
          การวิจัยในชั้นเรียน เป็นการวิจัยที่สามารถแสดงผลการวิจัยที่เป็นรูปธรรม ใช้ปรับปรุงแก้ไขปัญหาและพัฒนางานได้ ที่เรียกว่า การวิจัยเพื่อการพัฒนา (Research and Development) โดยมีขั้นตอนการวิจัยดังนี้
          ขั้นที่ 1 การหนดปัญหา
          ปัญหาในที่นี้คือปัญหาที่จะแก้ไขหรือสิ่งที่จะพัฒนาที่เรามักจะประสบในการปฏิบัติงานหรือจากการประเมินผลการปฏิบัติงานหรือจากแนวคิดที่ต้องการพัฒนา
          ขั้นที่ 2 การวิเคราะห์ปัญหา
          เป็นการวิเคราะห์ว่าปัญหาที่ต้องการแก้ไขนั้นเป็นปัญหาจริงหรือไม่ มีความสาคัญอย่างไร โดยการศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องสอบถามหรือสนทนากับผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งการคิดไตร่ตรองอย่าง ถี่ถ้วนรอบคอบ
          ขั้นที่ 3 กาหนดแนวทางแก้ปัญหา
          ในขั้นนี้เป็นการศึกษาหาแนวทางหรือวิธีการที่จะนามาแก้ปัญหานั้นๆ วิธีการหรือแนวทางที่จะนามาแก้ปัญหาต้องเป็นวิธีการใหม่ๆที่ยังไม่เคยมีผู้ใดนามาใช้ เราเรียกว่า นวัตกรรม (Innovation) การที่จะแสวงหาสิ่งใหม่ๆได้ก็ด้วยวิธีการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
          ขั้นที่ 4 ดาเนินการพัฒนานวัตกรรม
          ในการพัฒนานวัตกรรมนั้นย่อมขึ้นอยู่กับประเภทของนวัตกรรมว่าเป็นอะไร เช่น วิธีสอน ชุดการสอน บทเรียนสาเร็จรูป คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ซึ่งไม่จาเป็นว่าจะต้องสร้างขึ้นมาเองอาจมาจากการนามาพัฒนาต่อยอดของผู้อื่น จากนั้นจึงตรวจสอบปรับปรุงในขั้นต้นเพื่อความชัดเจนและแน่ใจในการนามาใช้จริง
          ขั้นที่ 5 ทดลองใช้นวัตกรรม
          เมื่อเราสร้างนวัตกรรมสาเร็จลงแล้ว ก่อนการนาไปใช้ในการแก้ปัญหาจริง จาเป็นอย่างยิ่งต้องหาคุณภาพให้แน่ใจก่อนว่าสามรถนาไปใช้ได้อย่างถูกต้อง มีคุณภาพ โดยพยายามหารสถานการณ์ที่ใกล้เคียงหรือการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาช่วยตรวจสอบก็จะดียิ่ง
          ขั้นที่ 6 ปรับปรุงแก้ไขโดยอาศัยผลจากการทดลองใช้นวัตกรรม
          เมื่อทดลองใช้เสร็จแล้ว เราสามารถทราบว่า นวัตกรรมที่สร้างขึ้นนั้นดีหรือไม่ สามารถนามาแก้ปัญหาได้อย่างไร สัมฤทธิ์ผลหรือไม่ มีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไขอย่างไร หากไม่พบข้อบกพร่องแสดงให้เห็นว่านวัตกรรมนั้นมีความสมบูรณ์ถือว่าใช้ได้ โดยปกตินวัตกรรมอาจต้องมีการแก้ไขปรับปรุงขึ้นบ้างไม่ใช่ปัญหา ผู้วิจัยจึงควรหาแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขจนสามารถนามาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาอีกทางหนึ่ง
          เมื่อดาเนินการครบทุกขั้นตอนแล้ว สามารถเขียนอธิบายตามกระบวนการทั้ง 6 ขั้นตอน เราจะได้รายงานผลการวิจัย 1 เล่ม ซึ่งเป็นลักษณะของงานวิจัยเพื่อการแก้ปัญหาและปรับปรุงผลการปฏิบัติงานของตนเอง รวมทั้งการพัฒนาผู้เรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ที่ดีขึ้นตามความมุ่งหมายที่กาหนด

รูปแบบการรายงานผลการวิจัยในชั้นเรียน
          รูปแบบการรายงานผลการวิจัยในชั้นเรียน สามารถจัดทาได้ 2 รูปแบบ คือ
          1. รูปแบบการรายงานผลการวิจัยแบบไม่เป็นทางการ คือการนาเสนออย่างสั้นๆ ไม่ยึด
รูปแบบการนาเสนอที่ตายตัว แต่ต้องมีสาระครบถ้วนที่ทาให้เข้าใจสิ่งที่ศึกษาและต้นพบ ควรแสดงหลักฐานเกี่ยวกับกระบวนการที่มีผลสะท้อนกลับเพื่อเป็นข้อมูลยืนยันข้อสรุปที่ได้จากการวิจัย ดังนั้นจึงต้องอาศัยประสบการณ์และมุมมองในการวิพากษ์ วิจารณ์ของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนร่วมงานผู้มีส่วนร่วม จะทาให้ผลของการวิจัยมีความสมบูรณ์ แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือ
          2. รูปแบบการรายงานผลการวิจัยแบบเป็นทางการ เป็นการนาเสนอที่มีรูปแบบของ
หัวข้อการรายงานที่เป็นแบบแผน ตายตัว คือ
              2.1 บทที่ 1 บทนา ประกอบด้วย ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา คาถามวิจัย กรอบความคิดของการวิจัย วัตถุประสงค์ของการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย นิยามคาศัพท์ ข้อตกลงเบื้องต้นของการวิจัย และประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย
              2.2 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
              2.3 วิธีดาเนินการวิจัย ประกอบด้วย เนื้อหาเกี่ยวกับระเบียบวิธีวิจัย ประชากร กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล
              2.4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
              2.5 สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูล อภิปรายและข้อเสนอแนะ
              2.6 บรรณานุกรม
              2.7 ภาคผนวก
รายงานการวิจัยที่นาเสนอแบบเป็นทางการนี้ จะใช้ศัพท์เทคนิค ในเชิงวิชาการที่เป็นที่เข้าใจของกลุ่มนักวิจัย ซึ่งหากฝึกการทาวิจัยจนมีความรู้ความชานาญก็สามารถที่จะเป็นนักวิจัยที่มีคุณลักษณะและมีคุณภาพได้อย่างไรก็ดีเพื่อให้มีความเป็นไปได้ของการเขียนรายงานการวิจัยของครูซึ่งไม่ยากจนเกินไป ภายใต้แนวคิดที่ว่า การรายงานวิจัยในชั้นเรียนของครูเป็นรายงานที่ให้ความรู้ใหม่ในการแก้ปัญหา และครูใช้กระบวนการวิจัยที่เชื่อถือได้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นที่ยอมรับในเชิงประจักษ์ ดังนั้นการรายงานผลการวิจัยในชั้นเรียนจึงควรมีองค์ประกอบที่สาคัญ ดังนี้
          1. ชื่อเรื่องการวิจัย
          2. ปัญหาและความสาคัญของปัญหา
          3. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
          4. วิธีการวิจัย ได้แก่
              - กลุ่มเป้าหมาย
              - วิธีการหรือนวัตกรรมที่ใช้
              - วิธีการรวบรวมข้อมูล
              - วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล
              - ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
          5. สรุปและสะท้อนผล
              องค์ประกอบเหล่านี้เป็นวิธีการที่ครูสามารถฝึกปฏิบัติจนเกิดทักษะและประสบการณ์ที่ดี
ย่อมนาพาให้การแก้ปัญหาผู้เรียนเป็นไปอย่างชัดเจน ตรงตามเจตนารมณ์ในการที่จะช่วยผู้เรียนให้พัฒนาศักยภาพในทางที่ดีขึ้น

เทคนิคในการทาวิจัยในชั้นเรียน
          การทาวิจัยในชั้นเรียน ครูแต่ละคนย่อมมีวิธีการที่จะทาให้ผลของการวิจัยเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ครูกาหนด จากการร่วมประชุมจัดให้มีการจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Management) เรื่อง เทคนิคการทาวิจัยในชั้นเรียน ของคณะครู วิทยาลัยนาฏศิลปสุพรรณบุรี โดยได้มีการถ่ายทอดเรื่องราวจากการพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทาวิจัยในชั้นเรียน ของบุคลากรแต่ละท่านทาให้พบมุมมอง แนวทาง วิธีการที่เป็นส่วนหนึ่งของการประสบผลสาเร็จในการทาวิจัยในชั้นเรียน สรุปได้ ดังนี้
          1. เทคนิควิธีการทาวิจัยเริ่มต้นด้วยจากการค้นหาปัญหาผู้เรียน และแนวทางในการแก้ปัญหา
ให้ตรงประเด็นที่จะแก้ไข และสามารถทาได้จริงเพื่อนาไปสู่การพัฒนาที่เป็นรูปธรรมชัดเจนการเลือกปัญหาถ้าครูพบว่ามีหลายปัญหาที่ต้องการแก้ไข ควรพิจารณาจัดลาดับก่อนว่าปัญหานั้นๆ มีผลกระทบต่อการเรียน การสอนมากน้อยเพียงใด และส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์และความสาเร็จของผู้เรียนอย่างไร
          2. การกาหนดจุดมุ่งหมาย/วัตถุประสงค์ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา และไม่จาเป็นต้อง
มีมากข้อ แต่กาหนดให้ตรงกับความเป็นจริงที่เราประสบเพื่อการแก้ไขได้ตรงจุดประสงค์
          3. การวิเคราะห์ปัญหาเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และลุ่มลึก เพื่อครูจะได้แสวงหาวิธีแก้ปัญหาได้
ถูกตรง โดยจากการสังเกต พูดคุยกับผู้เรียน เพื่อนครู ผู้ปกครอง ทดสอบ พิจารณาผลงาน ฯลฯ
          4. วิธีการแก้ปัญหาต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ มีความหลากหลาย เช่น การให้ใบงาน
การใช้กิจกรรม การสร้างสื่อนวัตกรรม การช่วยเหลือต่อกันในชั้นเรียนที่เรียกว่าเพื่อนช่วยเพื่อน การเสริมแรง การเป็นกันเอง การเอาใจใส่ เป็นต้น
          5. ในการสร้างนวัตกรรม ครูควรศึกษา ออกแบบตลอดจนการทดลองใช้อย่างเหมาะสมหาก
ต้องปรับปรุงแก้ไข ครูควรทาอย่างเร่งด่วนและก่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ ที่สาคัญครูพึงตระหนักถึงการใช้อย่างสมดุลย์ คุ้มค่าเหมาะสมกับสภาพปัญหา
          6. ควรศึกษางานวิจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้อง หรือเอกสารตารา หาแนวทางแก้ปัญหาจากเอกสาร เพื่อ
เป็นแนวทาง นาหลักการที่เกี่ยวข้องเพื่อนามาใช้แก้ปัญหาจะดียิ่ง เพื่อนามาพัฒนาการทาวิจัยในชั้นเรียนของตน ให้มีความหลากหลายและน่าเชื่อถือทั้งยังแก้ปัญหาผู้เรียน สู่การพัฒนาการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
          7. การทาวิจัยในชั้นเรียนครูควรทาไปพร้อมๆ กับกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้
ขั้นตอนเหมือนวิจัยทั่วๆ ไป แต่มุ่งเพื่อแก้ปัญหาของผู้เรียน ดังนั้น ครูควรสังเกต และจดบันทึก ทุกครั้งที่ทาการสอนเพื่อสะดวกในการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา
          8. วางแผนดาเนินการ กาหนดขั้นตอนให้ชัดเจน เครื่องมือที่ใช้คืออะไร เช่น แบบฝึกทักษะ แผนการสอน (วิธีสอนที่เน้นทักษะปฏิบัติ) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ฯลฯ และเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น แบบสังเกต แบบประเมิน แบบสัมภาษณ์ ฯลฯ
9. มีการลงมือปฏิบัติตามแผน รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ดาเนินการแก้ปัญหาไปพร้อมกับๆ กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยไม่ให้กระทบกับนักเรียนที่ไม่ได้มีปัญหา
          10. ในการสรุปข้อมูล อภิปรายผล และรายงานวิจัยในชั้นเรียน เมื่อได้ใช้วิธีการต่างๆ ในการแก้ปัญหาแล้ว นามาสรุป และอภิปรายผล และทารายงานวิจัยในชั้นเรียนต่อไป ซึ่งจะในลักษณะวิจัยหน้าเดียว หรือ 5 บทก็ได้
          11. ครูควรมีคุณธรรมและหลักจิตวิทยาควบคู่ ในเรื่องของความมีพรหมวิหาร 4 ได้แก่ เมตตา
กรุณา มุฑิตา อุเบกขา และพึงระลึกอยู่เสมอว่าทุกคนย่อมมีความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยเฉพาะระดับสติปัญญาซึ่งเด็กมีไม่เท่ากัน ครูควรเข้าใจอย่างถ่องแท้และใช้วิธีการอย่างเหมาะสมในเชิงคุณธรรมและ หลักจิตวิทยา
          12. มีการเสริมแรงและให้กาลังใจ แก่ตนเองและนักเรียน ไม่ย่อท้อต่อปัญหาและอุปสรรคสร้าง
แรงจูงใจเสริมแรง คาชม สร้างความเชื่อมั่น สอดแทรกคุณธรรม คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความเชื่อมั่น และเห็นความสาคัญของตนพร้อมที่จะร่วมมือกับครูอย่างเต็มที่
การทาวิจัยในชั้นเรียน เป็นการช่วยแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนที่ครูทุกคนสามารถดาเนินการได้อย่างเต็มศักยภาพ เพราะครูเป็นผู้ที่มีความใกล้ชิด ที่ทาหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียน ดังนั้น ครูสามารถทราบว่านักเรียนมีปัญหาอะไร การจัดการเรียนการสอนควรปรับเปลี่ยนอย่างไร ควรนากิจกรรมอะไรมาเสริมสร้าง จัดนวัตกรรมอย่างไรจึงจะช่วยให้เกิดการพัฒนาตามการค้นพบของครู สิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างและพัฒนาทั้งตัวครูและนักเรียน รวมทั้งสถานศึกษาให้มีความน่าเชื่อถือ ความศรัทธาแก่บุคคลทั่วไปในฐานะเป็นกลไกทางการศึกษา ที่พัฒนาคนให้เป็นกาลังที่ดีด้านสติปัญญา อารมณ์ และสังคม มีศักยภาพเพื่อร่วมสร้างสรรค์พัฒนาประเทศชาติให้มีความเจริญเป็นที่ยอมรับแก่นานาประเทศอย่างมีศักดิ์ศรี ที่สาคัญการนาเทคนิคการทาวิจัยในชั้นเรียน อันเป็นองค์ความรู้ที่บุคลากรขอวิทยาลัยนาฏศิลปสุพรรณบุรีร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มาเผยแพร่เพื่อเป็นแนวทางในการทาวิจัยในชั้นเรียนให้กับครู นับว่าเป็นประโยชน์แก่วงการการศึกษาของไทยอีกแขนงหนึ่ง